วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สาหร่ายคลอเรลลา (Chlorella)





สาหร่ายคลอเรลลา (Chlorella)
                เป็นสาหร่ายในกลุ่มสาหร่ายสีเขียว มีขนาดเล็กมากเมื่อส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะพบว่า เป็นสาหร่ายเซลล์เดี่ยว ลักษณะกลม รี หรือรูปไข่สีเขียว เพาะเลี้ยงในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน นิยมนำมาบริโภคในรูปแบบของอาหารเสริม หรือผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ ชาวญี่ปุ่นยังใช้เติมลงไปในชา ซุป นม น้ำผลไม้ บะหมี่ คุกกี้ เค้ก และไอศกรีม
                คลอเรลลา จัดเป็นแหล่งของโปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ โดยมีโปรตีนที่อยู่ในรูปของกรดนิวคลีอิก คือ อาร์ เอ็น เอ สูงมาก แต่เดิมมีความเชื่อว่าปลาซาร์ดีน มี อาร์ เอ็น เอ มากที่สุด นักวิทยาศาสตร์พบว่า อาร์ เอ็น เอ ช่วยกระตุ้นให้เซลล์ร่างกายเกิดความกระปรี้กระเปร่า มีความอ่อนเยาว์ และช่วยชะลอความชราได้ ผลการวิจัย พบว่า อาร์ เอ็น เอ ในคลอเรลลา ยังประกอบด้วย กรดอะมิโน จำเป็นที่ร่างกายสร้างขึ้นมาใช้เองไม่ได้ ต้องได้รับจากการบริโภคของพืช หรือสัตว์ เท่านั้นอยู่ถึง 8 ชนิด โปรตีนจากคลอเรลลา จึงมีคุณภาพเทียบเท่ากับโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ แต่จะมีเมไทโอนีน ต่ำกว่า
                นอกจากนี้ คลอเรลลา ยังมีวิตามินหลากหลาย คือ วิตามินซี, เบตา-แคโรทีน (ซึ่งให้วิตามิน เอ), บี1, บี2, บี6, บี12, ไนอาซิน, กรดแพนโทเทนิค, กรดโฟลิก, ไบโอติน, โคลีน, อินโนซิทอล, พีเอบีเอ, วิตามินอี และ วิตามินเค  ส่วนเกลือแร่ที่มีอยู่ได้แก่ ฟอสฟอรัส, โปแตสเซียม, แมกนีเซียม, กำมะถัน, เหล็ก, แคลเซียม, แมงกานีส, ทองแดง, สังกะสี, ไอโอดีน และ โคบอลต์ รวมทั้งมีกรดไขมันไลโปอิก

                มีงานวิจัยสนับสนุนสรรพคุณในด้านต่าง ๆ ของคลอเรลลา เช่น เป็นแหล่งโปรตีนชั้นยอด กระตุ้นการเจริญเติบโต เสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย ชะลอความชรา ป้องกันอนุมูลอิสระ ล้างพิษในระบบทางเดินอาหาร เนื่องจากมีองค์ประกอบของสารอาหารที่มีประโยชน์สูง วงการธรรมชาติบำบัดจึงนิยม นำคลอเรลลาไปใช้ใน   การเสริมภูมิคุ้มกัน สมานแผล ต้านสารพิษต่าง ๆ รอบตัว ช่วยย่อย ปรับการทำงานของกระเพาะอาหาร และลำไส้ ใช้กระตุ้นให้เกิดการเจริญเติบโต และช่วยสร้างเนื้อเยื่อในร่างกาย ชะลอความชรา ตลอดจนป้องกันอันตรายจากกัมมันตภาพรังสี
ที่มา: สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) www.tistr.or.th
Tips!
           1. สาร ซี จี เอฟ ค้นพบใน สาหร่ายคลอเรลลา เท่านั้น ให้พลังงานมหาศาลแก่มนุษย์ สร้างความแข็งแกร่งให้เซลล์ เสริมสร้างระบบต้านทานโรค และกระตุ้นร่างกายให้มีชีวิตชีวา
              2. โปรตีน มีครบทุกชนิดที่จำเป็น สูง 60% 3 เท่าของโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เสริ้มสร้างซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
                 3. มี เกลือแร่ แคลเซียม ทองแดง เหล็ก แมกนีเซียม โปรตัสเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม สังกะสี วตามิน เบต้าแคโรทีน วิตามิน A D E K B1 B2 6 12 C
           4. วิตามินเอ และสารเบต้าคาโรทีน เป็นวิตามินเอ ย่อยง่าย บำรงสายตา ยับยั้งเซล์มะเร็ง
            5. ไนอาซีน ช่วยบำรุงโรคจิตประสาทโซเพรเนีย ทำให้ร่างกายกระชุ่มกระชวย บำบัดโรคหัวใจ
            6. เหล็ก ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง และเป็นตัวนำออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกาย มีสังกะสี ช่วยสร้างสมรรถภาพของสมองให้ร่างกายฟื้นไข้เร็ว
            7. ไฟเบอร์ ช่วยลดคลอเรสเตอรอล ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เอนไซม์ช่วยย่อยอาหาร และการดูดซึมอาหารของร่างกาย
ผนังเซลล์คลอเรลลา ช่วยต่อต้านมะเร็ง และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน มีคุณสมบัติพิเศษในการกำจัดสารไฮโดรคาร์บอน และสารที่เป็นพิษออกจากร่างกายมนุษย์ได้
สรุปประโยชน์ของสาหร่ายคลอเรลลา
               1. สาหร่ายคลอเรลลา (Chlorella) ป็นพืชน้ำที่มีคลอโรฟิลสูงสุด ช่วยในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานดีขึ้น และเป็นแหล่งโปรตีน วิตามิน เกลือแร่
                2. อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เบต้าแคโรทีน และวิตามินบีคอมเพล็กซ์
                3. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ต่อต้านมะเร็งชนิดต่าง ๆ ไวรัส เนื้องอก
                4. ขจัดโลหะหนักออกจากร่างกาย ได้แก่ สารปรอท ตะกั่ว ดีดีที
                5. ลดกรดในร่างกาย ช่วยบำบัดกรดไหลย้อยกลับ
                6. ช่วยระบบการย่อยอาหาร
                7. บำรุงผิวพรรณ สดใส ชะลอความชรา

       ด้วยคุณค่าทางโภชนาการดังกล่าวทำให้ สาหร่ายคลอเรลล่า เป็นส่วนประกอบสำคัญเป็นอย่างยิ่งใน ผักเม็ด 6 สายพันธุ์ หรือ คลอโรฟิลลิน ซึ่งเป็นแหล่งรวมสารอาหารคุณภาพ และมีประโยชน์ต่อการดูแลร่างกายอย่างครบครัน 

นานาคุณค่าจากชาเขียว




นานาคุณค่าจากชาเขียว

      ตามคำกล่าวของคนจีนโบราณ ดั่งสุภาษิตที่ว่า  "ขาดอาหารสามวันยังดีเสียกว่า ขาดชาเพียงวันเดียว" 
           มีอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรที่จะดีต่อสุขภาพเท่าชาเขียวบ้าง ชาวจีนรู้เรื่องประโยชน์ทางยาของชาเขียวมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้ชาเขียวในการรักษาตั้งแต่โรคปวดศีรษะไปจนถึงโรคซึมเศร้า ในหนังสือเรื่อง ไขความลับธรรมชาติสู่สุขภาพที่ดีกว่า นาดีน เทย์เลอร์ กล่าวว่า มีการใช้ชาเขียวเป็นยาในประเทศจีนเป็นเวลานานอย่างน้อย 4,000 ปีมาแล้ว
            ปัจจุบัน การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออกพบว่า การดื่มชาเขียวมีผลอย่างชัดเจนต่อสุขภาพ เช่น ในปี 1994 วารสารของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ตีพิมพ์ผลการศึกษาที่แสดงว่า การดื่ม ชาเขียวช่วยลดอัตราการเสี่ยงของโรคมะเร็งหลอดอาหาร ในหมู่ชาวจีนทั้งหญิงชาย ได้ถึง เกือบ 60% เมื่อไม่นานมานี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยปูร์ดู สรุปว่า สารประกอบในชาเขียว ช่วยยับยั้งอัตราการเติบโตของเซลมะเร็งได้ นอกจากนั้นยังมีการวิจัยที่แสดงว่า การดื่มชาเขียวช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลโดยรวมได้ และยังช่วยปรับอัตรา HDL ให้เป็น LDL
ชาเขียวมีดีตรงไหน 
             ความลับของชาเขียวอยู่ที่ปริมาณสาร Catechin Polyphenol โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Epigallocatechin Gallate (EGCG) ที่มีอยู่มากในตัวชา EGCG เป็นสารต้านพิษ และยังช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลมะเร็งด้วยการฆ่าเซลมะเร็ง โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อส่วนดี นอกจากนั้นยังช่วยลดระดับ LDL คลอเรสเตอรอล และยับยั้งการก่อตัวแบบผิดปกติของก้อนเลือด ซึ่งเป็นเหตุของอาการหัวใจวายและลมชัก มักมีการเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้จากการดื่มชา เข้ากับประโยชน์ทีได้จากการดื่มไวน์ นักวิจัยสงสัยมานานแล้วว่า ทำไมชาวฝรั่งเศสจึงมีอัตราการป่วยด้วยโรคหัวใจน้อยกว่าชาวอเมริกัน ทั้งที่บริโภคอาหารที่มีไขมันสูง คำตอบก็คือ เป็นเพราะไวน์แดง ซึ่งมีสาร Resveratrol ที่เป็น Polyphenol ที่ลดอันตรายจากการสูบบุหรี่และรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
             ในการวิจัยเมื่อปี 1997 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคนซัส สรุปว่า EGCG นั้นแรงเท่า ๆ กับ Resveratrol ถึงเกือบ 2 เท่า ซึ่งเป็นการอธิบายว่า ทำไมชาวญี่ปุ่นจึงมีอัตราการเสี่ยงโรคหัวใจค่อนข้างต่ำ แม้ว่ากว่า 75% จะสูบบุหรี่ก็ตาม
              ทำไมชาจีนอื่น ๆ จึงไม่ดีเท่าชาเขียว ชาเขียว ชาอูลอง และชาดำต่างก็มา จากใบของต้น Camellia Sinensis การที่ชาเขียวมีประโยชน์มากกว่า ก็เนื่องมาจากกระบวนการแปรรูป โดยใบชาเขียวจะถูกนำมาอบไอน้ำ ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้สารประกอบ EGCG เข้ารวมตัวกับออกซิเจน ในทางตรงข้าม ใบชาอูลองและชาดำกลับเกิดจากการนำใบชาไปหมัก ซึ่งทำให้ EGCG ถูกเปลี่ยนเป็นสารประกอบชนิดอื่น ซึ่งแทบไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันหรือต่อสู้โรคใด ๆ เลย
     สาร EGCG นี้ในทางเคมีจัดเป็นสารโพลี่ฟีนอลชนิดหนึ่งที่มีการวิจัยกันอย่างกว้างขวางและหลายการวิจัยก็พบว่า   สาร EGCG ดังกล่าวนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายได้แก่ 
       1. มีส่วนช่วยในขบวนการ การกำจัดไขมันโคเรสเตอรอลในหลอดเลือด ซึ่งทำให้ลดภาวะความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง จากการอุดตันของไขมันในหลอดเลือด
       2. ช่วยในการขับสารพิษ และสารอนุมูลอิสระ จึงส่งผลในการป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะมะเร็งและโรคความเสื่อมของเซลล์และอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
    3. ช่วยทำให้ร่างกายของเรารู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า เนื่องจากมีผลในการกระตุ้นการทำงานระดับเซลล์และนอกจากสรรพคุณดังกล่าวจากสาร EGCG ที่มีอยู่ในชาเขียวแล้ว ชาเขียวยังให้สารอื่นๆ อีกมากมายเช่น สารคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ซึ่งมีประโยชน์ต่อขบวนการการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง และขับสารพิษตกค้างออกจากร่างกายของเรา และจะทำงานร่วมกับสาร EGCG ในการช่วยทำให้ร่างกายของเรารู้สึกสดชื่น และลดความเสี่ยงจากอันตรายของสารพิษและอนุมูลอิสระ นอกจากนั้นชาเขียวยังมีวิตามิน (Vitamins) เกลือแร่ (Minerals) และสารอาหารจากพืชที่มีความสำคัญต่อร่างกายอีกมากมาย
ประโยชน์อื่น ๆ 

        มีหลักฐานใหม่ ๆ ที่แสดงว่า ชาเขียวสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ ในเดือนพฤศจิกายน 1999 วารสาร The American Journal of Clinical Nutrition ตีพิมพ์ผลการศึกษาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในสวิสเซอร์แลนด์ นักวิจัยพบว่าผู้ที่ดื่มทั้งสารสกัดคาเฟอินและชาเขียว มีการเผาไหม้แคลลอรี่มากกว่า คนที่ได้คาเฟอินอย่างเดียว นอกจากนั้น ชาเขียวยังช่วยป้องกันฟันผุได้ด้วย ความสามารถในการทำลายแบคทีเรียของชาเขียว สามารถ ป้องกันอาหารเป็นพิษได้ และยังช่วยฆ่าแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดคราบพลัคในช่องปาก ในขณะเดียวกัน ผลิตภัณฑ์ถนอมผิว ที่มีส่วนผสมของชาเขียว ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาดับกลิ่นตัวหรือครีม บำรุงผิว ก็เริ่มมีวางขายในตลาด

คุณควรดื่มชาเขียวมากเท่าไร 
          คำตอบมีมากพอ ๆ กับจำนวนการวิจัยเรื่องคุณสมบัติของชาเขียว เช่น นิตยสาร Herbs for Health อ้างตัวอย่างรายงานจากญี่ปุ่นว่า คนที่ดื่มชาเขียว 10 แก้วต่อวัน จะปลอดโรคมะเร็งนานกว่าคนที่ดื่มชาเขียวน้อยกว่า 3 แก้วต่อวันถึง 3 ปี (มี Polyphenol ประมาณ 240-320 มก. ในชาเขียว 3 แก้ว) ขณะเดียวกัน การศึกษาของมหาวิทยาลัย Cleveland's Western Reserve สรุปว่า การดื่มชาเขียวสี่แก้วหรือมากกว่านั้น จะช่วยป้องกันโรคปวดข้อ หรือลดอาการปวดใน กรณีของคนที่ป่วยอยู่แล้ว นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นที่สถาบันวิจัยมะเร็ง Saitama พบว่า การเกิดโรคมะเร็งเต้านม หรือ การขยายตัวของโรคนั้น จะน้อยลงในผู้หญิงที่มีประวัติดื่มชาเขียว 5 ถ้วย หรือมากกว่านั้นต่อ 1 วัน มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย มีการศึกษาเรื่องคุณสมบัติการป้องกันมะเร็งของชาเขียว พบว่าคุณสามารถได้รับปริมาณ Polyphenols ในปริมาณที่ต้องการได้โดยดื่มชาเขียวเพียง 2 ถ้วยต่อวัน แต่บริษัทผู้ค้าชาเขียวชนิดแคปซูลกลับกล่าวว่า หากต้องการให้ได้ประโยชน์สูงสุดแล้วล่ะก็ จะต้องดื่มชาเขียวถึงวันละ 10 ถ้วยเลยทีเดียว ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรก็ตาม การดื่มชาเพียง 4-5 ถ้วยต่อวัน ดูจะปลอดภัยที่สุด และถ้าคุณจริงจังกับการดื่มชาเขียวมาก ก็อาจจะดื่มได้มากกว่านั้น แต่จะได้ประโยชน์มากน้อยขึ้นอย่างไรนั้นก็คงต้องรอผลการวิจัยอื่น ๆ ต่อไป


ชาเขียวมีผลร้ายบ้างหรือไม่ 
         จนถึงปัจจุบัน ผลด้านลบที่พบจากการดื่มชาเขียวคืออาการนอนไม่หลับ เนื่องมาจากคาเฟอิน อย่างไรก็ตาม ชาเขียวยังมีคาเฟอินน้อยกว่ากาแฟ คือประมาณ 30-60 มก. ต่อชา 6-8 ออนซ์ เมื่อเทียบกับจำนวนคาเฟอิน กว่า 100 มก. ที่พบในกาแฟ 8 ออนซ์


          ดังนั้นการดื่มชาเขียวจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญของ คลอโรฟิลล์ลิน (ผักเม็ด 6 สายพันธุ์) จะให้ประโยชน์ต่อร่างกายของเราเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผู้ที่ถูกเชื่อว่ามีสารพิษหรืออนุมูลอิสระในร่างกายมากๆ  ผู้ที่ภาวะความเครียดจากการทำงานสูง เพราะประโยชน์สำคัญของคลอโรฟิลล์จะช่วยในการกำจัดสารพิษตกค้างต่างๆและช่วยในการปรับให้ร่างกายของเราสามารถกลับคืนสู่สมดุลเดิมได้อย่างรวดเร็ว และส่งผลทำให้เราพร้อมที่ทำงาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่มีอันตรายใดๆ ต่อร่างกาย